บทที่ 14 ชนวนเหตุ (70%)
“ย่ะ ยายเด็กช่างกิน ไหนบอกว่าอยากหุ่นดีไง”
“ก็อยากแหละ แต่มันอดกินไม่ได้ค่า” เจ้าตัวอุบอิบ แล้วคว้าแก้วลาเต้เย็นมาดูดอึกใหญ่ ท่าทางไร้เดียงสาและไม่เป็นผู้ใหญ่สมวัยยี่สิบสามทำให้เอวารินส่ายหน้าอย่างยิ้มๆ
“แต่หุ่นอวบๆ น่าฟัดแบบนี้ก็ดีเหมือนกันแหละ เวลาใส่ชุดชั้นในของฉันถ่ายแบบจะได้ดูดึงดูดใจ”
เจ้าของแบรนด์ชุดชั้นในยี่ห้อดังเอ่ยบอกอย่างจริงจัง และนั่นก็ทำให้คนที่เป็นลูกจ้างแบบรับงานเป็นจ๊อบๆ ไป หน้าแดงซ่านด้วยความขัดเขิน
“นี่ไม่อวบแล้วค่า อ้วนสุดๆ” คนที่คิดว่าตัวเองอ้วนเสมอมาเอ่ยแย้งหน้ามุ่ย
“แบบนี้ไม่อ้วนหรอก เขาเรียกอวบกำลังดี อกเป็นอก เอวเป็นเอว สะโพกผาย หุ่นสะบึมแบบนี้ผู้ชายคนไหนเห็นก็อยากฟัดกันทั้งนั้นแหละ ฉันยังอิจฉาเธอเลย”
“ว่าแต่…พี่เอวามาทำอะไรที่กรุงเทพฯ คะ ปกติช่วงนี้น่าจะคิดงานคอเล็กชั่นใหม่อยู่ที่เชียงใหม่ไม่ใช่เหรอ”
คนที่ค่อนข้างสนิทกับนายจ้างเอ่ยถาม อีกทั้งต้องการเบี่ยงประเด็นการพูดถึงรูปร่างอันน่ากระดากอายของเธอ
“ฉันมีถ่ายแบบขึ้นปกนิตยสาร วันนี้ว่างเลยถือโอกาสแวะมาเยี่ยมนีรา แต่เสียดายที่เขาห้ามเยี่ยม”
เอวารินเอ่ยตอบขณะยกขาเรียวเสลาขึ้นไขว่ห้างด้วยมาดนางพญา กวาดตามองรอบๆ แวบหนึ่ง แล้วเอ่ยถาม “แล้วเธอล่ะ มาทำอะไรที่นี่ ไม่เขียนนิยายหรือไง”
“บี๋มาหาแม่ แล้วก็มีนัดกับเพื่อนด้วยค่ะ”
“นัดเจอเพื่อนที่นี่เนี่ยนะ?”
“อือ เพื่อนบี๋มาพบจิตแพทย์ค่ะ”
“ถ้าจำไม่ผิด แม่เธอเป็นหัวหน้าพยาบาลอยู่ที่นี่ใช่ไหม”
เอวารินเริ่มเปรยๆ เข้าเรื่อง
“ใช่ค่ะ แม่เป็นหัวหน้าวอร์ดดูแลคนไข้วิกฤต”
คราวนี้คนฟังตาโต
“งั้นแม่เธอก็มีโอกาสได้ดูแลนีราน่ะสิ”
“ค่ะ แม่บอกว่าพี่นีราฟื้นแล้ว แต่ยังไม่ออกจากห้องไอซียู” สาวน้อยยกมือขึ้นป้องปากกระซิบกระซาบ แล้วขยิบตาให้ “อันนี้เป็นความลับสุดยอดนะคะ อย่าเม้าท์ไป”
“สงสารเพื่อนฉันจัง ทำไมถึงได้ซวยขนาดนี้ก็ไม่รู้” เอวารินทำหน้าเศร้า
“นั่นสิคะ คนสวยใจดีอย่างพี่นีราไม่น่าจะต้องมาเจอเรื่องร้ายๆ แบบนี้เลย”
“แล้วถ้าฉันอยากเข้าไปเยี่ยมนีรา แม่เธอพอจะช่วยได้ไหม” นางแบบสาวหยั่งเชิง
“คงไม่ได้หรอกค่ะ แม่บอกว่าพี่นีราอาการหนักจริงๆ ได้ยินว่าตอนเช้าคุณพัดชาก็จะมาเยี่ยมเหมือนกัน แต่ทางโรงพยาบาลห้ามเยี่ยม เขาโวยวายเสียงดังจนโรง’บาลแทบแตกแน่ะ”
พัดชาที่ถูกกล่าวถึงก็คือหนึ่งในเพื่อนสนิทของนีรา
“งั้นเธอช่วยถามแม่เธอได้ไหม ว่าพอจะหาทางให้ฉันเข้าไปเยี่ยมนีราได้หรือเปล่า ฉันมีเรื่องสำคัญอยากคุยกับเขา มันสำคัญมากจริงๆ” ท่าทางร้อนใจของรุ่นพี่สาวทำให้คนถูกรบเร้าลำบากใจ
“เอ่อ…บี๋จะลองคุยกับแม่ให้ แต่ไม่รับปากนะคะ ว่าจะสำเร็จหรือเปล่า”
“อืม ขอบใจ แล้วฉันจะรอฟังข่าวนะ ถ้าได้เรื่องยังไงรีบโทรบอกด้วยล่ะ ฉันใช้เบอร์เดิมนั่นแหละ” นางแบบสาวว่าพลางผุดลุกขึ้นยืนเต็มความสูง กำลังจะกล่าวลา ทว่าเสียงของใครคนหนึ่งก็ดังขึ้นเสียก่อน
“บู้บี้! เรามาแล้ว!”
เอวารินมองผู้มาใหม่อย่างแปลกใจ ก่อนจะลดหน้าลงไปถามบูรณิมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “นั่นเพื่อนเธอที่ว่ามาพบจิตแพทย์ใช่ไหมยายกระปุกตั้งฉ่าย”
“ช่ายค่า พี่เอวามีอะไรหรือเปล่าคะ หรือว่ารู้จักกับเพื่อนบี๋”
“เปล่าๆ” นางแบบสาวส่ายหน้ารัวๆ แล้วเอ่ยเป็นเชิงลา “ถ้าได้เรื่องยังไงก็อย่าลืมโทรไปบอกฉันด้วยนะ แล้วเจอกันตอนถ่ายแบบชุดชั้นในคอเล็กชั่นใหม่ ฉันไปล่ะ”
ทิ้งท้ายไว้เท่านั้น เจ้าของร่างสะโอดสะองในชุดแซกสั้นรัดรูปสีดำก็เดินยักย้ายส่ายสะโพกผ่านหน้าคนที่กำลังก้าวมาหาบูรณิมาไปอย่างไม่เหลือบแลมอง
“โห! หุ่นดีเวอร์! อิจฉาอะ”
ท่าทางตาโต อ้าปากค้าง และมองตามรุ่นพี่สาวของเธอไปจนสุดสายตา ทำให้บูรณิมาหลุดหัวเราะคิก ด้วยไม่คิดว่าสาวห้าวอย่างนลินนิภาจะนึกอิจฉาสาวสวยหุ่นดี
“เธอก็หุ่นดีนะ ถ้าเลิกแต่งตัวเหมือนทอม” วาจาสัพยอกทำให้นลินนิภาแสร้งทำหน้าบึ้ง ก่อนจะโผเข้าไปกอดเพื่อนรักที่ไม่ได้เจอหน้ากันมาหลายเดือน
“หุ่นดียังไงก็ไม่สู้คนหุ่นอวบน่าฟัดอย่างเธอหรอก คนอะไรเนื้อตัวนุ่มนิ่มน่ามันเขี้ยวที่สุด” ว่าแล้วก็ทั้งกอดทั้งฟัดจนเจ้าของร่างอวบอิ่มนุ่มนิ่มหัวเราะคิกคักด้วยความจั๊กจี้
“เออ…ว่าแต่ เขามาทำอะไรเหรอ ทำไมดูหน้าเศร้าๆ”
“เขามาเยี่ยมพี่นีราน่ะ”
“แต่เขาห้ามเยี่ยมไม่ใช่เหรอ”
“ฮื่อ…ก็นั่นแหละคือสาเหตุที่ทำให้พี่เขาดูเศร้าๆ เขาเป็นห่วงพี่นีรามาก อีกอย่างก็เห็นว่ามีเรื่องสำคัญอยากคุยกับพี่นีราด้วย ก็เลยจะขอให้แม่เราช่วยให้ได้เข้าไปเยี่ยมพี่นีรา”
บูรณิมาเอ่ยอย่างซื่อๆ ก่อนที่คนฟังจะสวนกลับทันควัน
“แล้วแม่เธอว่าไง?”
“เรายังไม่ได้คุยกับแม่เลย แต่คงยากแหละ”
คราวนี้คนถูกรุ่นพี่สาวขอร้องทำหน้าหนักใจ
“ก็คงงั้น ทางโรงพยาบาลเขามีกฎ หากแม่เธอฝ่าฝืนหรือโดนจับได้ ก็คงถูกไล่ออก” นลินนิภาเอ่ยบอกเสียงเรียบๆ พอเห็นเพื่อนทำหน้าเครียดก็รีบปลอบใจ
“เฮ้! อย่าทำหน้าอย่างนั้นสิ จะเครียดไปทำไม ปล่อยให้มันเป็นเรื่องของผู้ใหญ่เถอะน่า”
“อืมๆ” สาวน้อยหุ่นอวบงึมงำรับคำในลำคอ ก่อนจะคิดบางอย่างขึ้นได้ “เออ ลืมถามไปเลย เรื่องพ่อเราเป็นยังไงบ้าง เธอพอจะช่วยได้ไหม”
“เดี๋ยวเราจะถามพ่อให้แล้วกัน ถ้าไม่ได้ยังไงเราก็อาจจะให้ยืมเงินส่วนตัวของเราก่อน แล้วที่แม่เธอบอกว่าจะหยิบยืมเจ้านายเก่าล่ะ เป็นไงบ้าง”
“ยังไม่แน่ใจเลยว่าเมียของท่านรัฐมนตรีสุชาติจะยอมช่วยไหม พ่อไม่น่าเล่นหุ้นเลย”
บูรณิมาเอ่ยอย่างกลัดกลุ้ม ตอนนี้ครอบครัวของเธอกำลังเจอวิกฤตเรื่องการเงินอย่างหนัก เพราะผู้เป็นบิดาเอาเงินไปลงทุนกับหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์แล้วเจ๊งไม่เป็นท่า หนำซ้ำยังติดการพนัน และติดหนี้ไปทั่ว
“อย่าพูดงั้นดิ เราเองก็เล่นหุ้นเหมือนกัน แต่ไม่ขาดทุน เพราะมันขึ้นอยู่กับช่วงเวลา และปัจจัยหลายอย่าง พ่อของบู้บี้อาจจะคาดการณ์ผิดก็เลยขาดทุน แต่ไม่ต้องห่วง เราจะพยายามหาทางช่วย ถ้าไม่ได้ก็อย่างที่บอก เราอาจจะให้ยืมเงินส่วนตัวของเราไปใช้หนี้ก่อน”
